War for the Planet of the Apes – มหาสงครามพิภพวานร

เรื่องย่อหนัง
หนัง War for the Planet of the Apes หรือชื่อไทยว่า มหาสงครามพิภพวานร ในภาพยนตร์เรื่อง War for the Planet of the Apes ผลงานตอนที่ 3 ของแฟรนไชส์เรื่องดัง ซีซาร์และฝูงวานรต้องพบกับปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มมนุษย์ที่นำโดยผู้พันผู้โหดเหี้ยม หลังจากที่ฝูงวานรต้องพบกับความสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึง ซีซาร์ต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณที่โหดร้ายมากขึ้น และเริ่มต้นการเดินทางแห่งตำนานเพื่อล้างแค้นเผ่าพันธุ์ของเขา เมื่อท้ายที่สุดการเดินทางได้พาพวกเขามาเผชิญหน้ากัน ซีซาร์และผู้พันต้องเผชิญหน้ากัน ในการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่จะกำหนดชะตากรรมสายพันธุ์ของพวกเขาและอนาคตของโลก ผู้กำกับฯ : แมตต์ รีฟส์ นักแสดง: แอนดี้ เซอร์คิส, วูดดี้ ฮาร์เรลสัน, สตีฟ ซาห์น, โทบี้ เคบเบล
ตัวอย่างหนังออนไลน์

รีวิวหนัง
War for the Planet of the Apes – มหาสงครามพิภพวินร

140 min | Action/Drama | Directed by Matt Reeves

หลังจากที่ภาคแรกของหนังวานรครองโลกอย่าง Rise of the Planet of the Apes เข้าฉายไปเมื่อปี 2011 ในที่สุดเราก็เดินทางมาสู่ภาคสุดท้าย ซึ่งเป็นการปิดไตรภาคอย่างเป็นทางการเสียที ซึ่งตอนภาคแรกหลายคนอาจจะยังเฉยๆ เพราะหนังแค่ดูได้เพลินๆ สนุกๆ แต่การมาของผู้กำกับ แมตต์ รีฟส์ ผู้เคยฝากผลงานหนังเอเลี่ยน/ฟาวน์ฟุตเทจ ยอดเยี่ยมอย่าง Cloverfield ไว้ก็ยกระดับภาคต่ออย่าง Dawn of the Planet of the Apes ให้มีความคมคาย ลึกซึ้ง และน่าติดตามมากขึ้นเลยทีเดียว และในภาคนี้ก็ต่อเนื่องจากภาคก่อน โดยกลุ่มของซีซาร์ต้องเผชิญหน้ากับผู้พันผู้โหดเหี้ยมที่มาพร้อมกับกองทหารที่คอยเก็บกวาดเหล่าวานรให้สิ้นซาก สงครามครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่จะดำรงอยู่

การมาของภาคนี้ทำให้ผมพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า หนังไตรภาคพิภพวานร กลายเป็น 1 ในหนังไตรภาคที่ดีที่สุดตลอดกาลเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ เพราะในภาพรวมของหนังมีการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจ โครงสร้างเรื่องที่แข็งแรง และการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์การเสียดสีสังคมและการเมือง อย่างที่เวอร์ชั่นก่อนพูดถึง และผมชอบความหมายของชื่อภาคในแต่ละภาคมาก

สลัดเรื่องการเมืองทิ้งไปก่อนในภาคนี้ เป็นอีกภาคที่ผมรู้สึกประทับใจมาก มันมากในระดับเดียวกับภาคก่อน เพียงแต่ให้อารมณ์ที่ต่างกัน เพราะใน WAR ผมรู้สึกว่าโทนหนัง และตัวซีซาร์ดำเนินมาถึงจุดที่โตมากแล้ว แต่ก็ยังมีการขัดแย้งในใจอยู่ (การหลอกหลอนของตัวละครนึงในภาคก่อนนี่ทำเอาผมนึกถึงโจ๊กเกอร์เลยนะ) ในภาคนี้กราฟการดำเนินเรื่องก็จะไปเรื่อยๆ เนือยๆ ประมาณนึง ไม่ฉูดฉาดมาก แต่ก็ไม่น่าเบื่อครับ ไม่เน้นยกพวกบู๊แต่เป็นเหมือนสงครามเย็นมากกว่า

ตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยซีนสวยๆ เยอะมาก มันน่าประทับใจมากจริงๆ โดยเฉพาะตัวละครของซีซาร์ ซึ่งนอกจากจะชมเทคนิควิชวลต่างๆ แล้ว ยังต้องชมการแสดงของ แอนดี้ เซอร์กิส ผู้รับบทนี้ด้วย แสดงออกมาได้ดี และทำให้ซีซาร์เป็นตัวละครที่มีมิติมากๆ เป็นเหมือนเลือดลมและหัวใจของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว

ต้องบอกว่าหากใครชมมาทั้งสองภาคแล้ว ไม่มีเหตุผลที่คุณจะพลาดภาคสุดท้ายนี้ด้วยประการทั้งปวงเลยครับ ยิ่งในภาคนี้มันเต็มไปด้วยการเสียดสี อารมณ์หดหู่ ซาบซึ้ง และยังมีอารมณ์ขันสอดแทรก ไม่ให้หนังมันหนักมากจนเกินไปด้วย ออกมาเป็นรสชาติที่กลมกล่อมน่าประทับใจมาก ซึ่งใครที่ยังไม่เคยชมมาก่อน แนะนำให้ชมภาค 1 และ ภาค 2 มาก่อนนะครับถึงต้นเรื่องภาค 3 จะมีซีเควนซ์ที่สรุปให้คร่าวๆ แต่ก็อาจจะไม่อินเท่าดูมาก่อน ผมไม่อยากให้พลาดหนังไตรภาคพิภพวานรเวอร์ชั่นนี้เลย มันให้อะไรเยอะมาก หรือดูแค่เอาสนุก เพลิดเพลิน ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวครับ